วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มหากาพย์ "กำเนิดของ Android และจุดจบของ Danger"

ช่วงปี 2002 มีโทรศัพท์น้องใหม่ยี่ห้อหนึ่งออกมาขายคือ “Danger Hiptop” ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “T-Mobile Sidekick” เจ้าเครื่อง Sidekick นี่เป็นโทรศัพท์สุดเท่ ถูกใจวัยรุ่น ขึ้นมาผงาดในหลายประเทศในเวลาไม่นาน มี features Internet ที่ยอดเยี่ยม




บริษัทผู้ผลิตคือ “Danger Inc” มีผู้ก่อตั้งชื่อ Andy Rubin คนนี้สำคัญมากครับ…

ถ้าถามผมว่าในโลกนี้มีใครที่จะเทียบชั้นกับอีตาจ๊อบส์ ได้บ้าง Andy Rubin นี่จะเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในรายชื่อของคำตอบของผมครับ..

ในปี 2003 Andy Rubin เคยให้สัมภาษณ์วิสัยทัศน์เกี่ยวกับ smartphone ใน Business Week…

Andy บอกว่า smartphone ในยุคต่อไปจะใช้ประโยชน์จากการ personalize และ location ของผู้ใช้ (ตอนนั้นปี 2003 นะครับ) หลังจากให้สัมภาษณ์ไป 2 เดือน Andy Rubin ซึ่งกำลัง Hot เรื่อง Smartphone ก็ออกมาตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ “Android Inc.”



เรื่องราวของบริษัท “Android Inc.” ในช่วงนั้นไม่มีใครรู้เรื่องนัก รู้กันแต่ว่าบริษัทนี้ทำซอฟต์แวร์สำหรับโทรศัพท์มือถือ…

ผ่านไปไม่ถึง 2 ปี กรกฎาคม 2005 ฟ้าผ่าเปรี้ยง… Google ประกาศซื้อ Android ไป โดยไม่บอกมูลค่า ให้เหตุผลเพียงแค่ว่า Android มีคนที่ยอดเยี่ยม แน่นอนครับ คนๆนั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Andy Rubin ซึ่งกูเกิ้ลให้เข้าไปนั่งตำแหน่ง director of mobile platforms ให้ Google พร้อมทีมงานเดิมของ Android ทั้งหมด

ตอนนั้นกูเกิ้ลกำลังมองตลาดโมบายครับ ออกมาพูดหลายรอบว่า “Mobile is the next frontier of Search” (สมรภูมิใหม่ของตลาด Search คือโทรศัพท์มือถือ) แต่ก็มองได้แค่นั้น ออกจะทำอะไรเพี้ยนๆด้วยซ้ำ เช่น ส่งคำตอบ search กลับไปทาง SMS เป็นต้น… ใครๆก็บอกว่า ดีแล้วที่เอ็งรู้จักซื้อ Andy Rubin เข้าไป ไม่งั้นคงทำอะไรเห่ยๆออกมาอีก…

Andy ลากคนทั้งทีมของ Android Inc. บวกกับพันธมิตรหลายคนจาก Orange และ WebTV เข้ามาเสริมทัพใน Google เป็นทิวแถว…ทั้งโลกจับตามองครับ…

แต่เหตุการณ์ก็เงียบสนิทไปถึง 2 ปี…เห็นมั้ยครับ ทุกอย่างต้องใช้เงินและเวลา เพื่อแลกของดีมีคุณภาพ Cheap-Good-Fast เลือกได้แค่สองอย่างจริงๆ

สิ่งที่พลิกความคาดหมายคือ Apple ดันออก iPhone ออกมาก่อนครับ ตาจ๊อบส์ประกาศเปิดตัวเดือนมกราคม 2007 และออกขาย ปลายมิ.ย. 2007 iPhone ออกมากลบกระแส “Google Phone” ไปอย่างไร้ร่องรอยเลยครับในปี 2007 ทุกสายตามองไปที่ Apple iPhone หมด… iPhone สนุกกับการกินตลาด smartphone สมัยใหม่ไป คริสต์มาสปีนั้น iPhone ทำสถิติใช้อินเตอร์เน็ตแซง Nokia ได้สำเร็จในคืนหลังวันคริสต์มาส



Phone ที่มีส่วนแบ่งไม่ถึง 1% มีคนใช้เข้า Internet มากกว่าโฟนที่มีส่วนแบ่ง 40% ในคืนเดียว…แน่นอนเว็บที่เข้ามากสุดคือ Google Search

ถ้าผมเป็น Google หรือ Andy ในคืนคริสต์มาสปีนั้น ต้องเป็นฝันร้ายของชีวิตแน่ๆ… มันคือวิสัยทัศน์ที่ทุ่มเทกันมาหลายปี ศาสดาทำพังหมดในคืนเดียว.

กูเกิ้ลจึงต้องประกาศตัว Android SDK เวอร์ชั่นแรกออกมาก่อนที่จะสายเกินไป ดูๆตอนนั้นยังไม่ค่อยพร้อมด้วยซ้ำครับ แต่คงรอไม่ได้แล้ว

Andy ให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัวว่า Android เป็นคอนเซปต์ใหม่ของโฟน…เค้าต้องการทำให้เป็น mobile mashup platform… ถ้าใครอ่านเรื่อง Hybrid App ที่ผมเคย LIVE ไปแล้วคงจะเห็นแล้วว่าวิสัยทัศน์ของตาจ๊อบส์ กับ Andy นี่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริงๆ

Android SDK คือชุดสำหรับเขียนโปรแกรมสำหรับเครื่อง Android ครับ วันเปิดตัวยังไม่มีโฟนซักตัว มีแต่ SDK ให้ดูและลองใน PC แต่อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า developer ค่อนข้างเชื่อถือ Andy ทำให้ Android ได้รับการยอมรับ หลายบริษัทเริ่มโครงการทำซอฟต์แวร์โดยไม่เห็นโฟน

Android นั้นใช้ Linux Kernel ครับ เรียกได้ว่าเป็น Unix based เหมือนๆกับ iPhone ก็เลยมีศักดิ์ศรีและอนาคตสดใสคล้ายๆกัน…เรียกว่าคู่กัด ตอนนั้นมีคนเอา Linux Kernel มาทำโฟนอยู่สองเจ้าคือ LiMo Foundation และ Lips (Linux Phone Standards) Forums แต่ Android เลือกทำเองใหม่

ตรงนี้ Andy บอกว่าที่ทำเองเพราะต้องการผลักดันให้มีการผลิตโฟนจริงจึงต้องควบคุมให้ได้ทั้งหมด…เลยต้องทำเองทั้งตัว ทีนี้จะลากเอาคนมาช่วยทำโฟนได้ไง กูเกิ้ลกลัวคนจะครหา ก็เลยตั้งเป็นองค์กรกลางครับ ชื่อ Open Handsets Alliance มีบริษัทสมาชิก 44 บริษัท เน้นว่า Android เป็น Open platform และฟรี ชักชวนให้คนมาผลิตเยอะๆ จะได้ช่วยกันถล่ม iPhone ให้ราบคาบ…

หลายคนสงสัยว่าถ้ามันฟรีแล้ว Google ทำไปทำไม ได้ประโยชน์อะไร…

กูเกิ้ลมีวิสัยทัศน์ว่าจะ “Organize the world’s information and make it universally accessible” คือจะจัดการข้อมูลของทั้งโลกและให้คนเข้าถึงได้ โทรศัพท์เป็นช่องทางหนึ่งที่สำคัญของการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้นกูเกิ้ลต้องหาทางควบคุมช่องทางนี้ให้ได้ ไม่ไว้ใจ Apple กับ Nokia ว่างั้นเหอะ… กูเกิ้ลต้องแน่ใจว่าผู้คนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่าน search engine ของตัวเองได้จากทุกหนทุกแห่ง และทุกอุปกรณ์ (และเห็นโฆษณาด้วย)

ที่นี้ไอ้การให้คนมาผลิตเครื่องมากๆนี่ มันก่อให้เกิดปัญหาหนึ่งคือทำให้ระบบมันหลากหลาย (Fragmented Environment) ซึ่งปัญหานี้ฆ่า Windows Mobile มาแล้ว

ผู้ผลิตต้องแข่งขันกัน ก็จะพยายาม differentiate สินค้าให้มากที่สุด ควบคุมได้ยากลำบาก iPhone แก้ปัญหานี้โดยไม่ให้ใครผลิต ตัวเองทำเองคนเดียว ถ้าคนผลิตมาก ทั้งผู้ผลิตและ Operator จะปรับเครื่องให้มันแตกต่างกันไปเรื่อยๆ เช่น HTC มี UI ของตัวเอง (Sense), ซัมซุงก็มีของตัวเอง (TouchWiz)

การทำแบบนี้ก็เพื่อให้ Brand ของผู้ผลิตสำคัญขึ้นกว่า Brand ของ platform ครับ เรียกว่า “Brand Dilution” – การเจือจาง brand

อย่างไรก็ตาม Google และ Andy Rubin ก็ลากเอา Android ขึ้นมจนสำเร็จจนปัจจุบันกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ยอดขายสูงสุดไปแล้ว นำห่าง Apple iPhone ไปเกือบ 6 เท่า....




ช่วงที่ Android เปิดตัวเป็นปลายปี 2007 Windows Mobile กำลังเริ่มเซจากกระแสไอโฟน มีรายงานว่าลูกค้าของ Verizon คืนเครื่อง Windows Mobile สูงมากถึง 25%

คนเริ่มไม่ชอบ Windows Mobile ครับ เพราะมีข้อจำกัดมากเมื่อเทียบกับ Unix based แบบ iPhone ไมโครซอฟต์ก็เริ่มเดือดร้อน developer ก็โดดหนีกันแล้ว…

สองเดือนหลังจากนั้น กุมภาพันธ์ 2008 ไมโครซอฟต์ก็ประกาศซื้อ Danger ครับ…เรียกว่า ซากที่ Andy ทิ้งไว้ก็เอาวะ.. ตอนนั้น MS กำลังเซจริงๆครับ ยอด Windows Mobile มันร่วงแบบไม่เห็นพื้นเลยจริงๆตอนนั้น…แถม Android ออกมาอีก ก็เลยรีบซื้อ Danger ไว้ก่อน…

Danger ตอนนั้น ไม่มี Andy มาหลายปี ก็ขาดทุนหนักขึ้นเรื่อยๆครับ เห็นมั้ยครับ คนนั้นสำคัญกว่าเทคโนโลยีและ Brand ... ได้ผลครับ พอไมโครซอฟต์ซื้อ Danger คนก็หันมามองทันที เพราะนั่นแปลว่า Microsoft จะเริ่มยุคของ Unix based phone กับเค้าซะที…

มีคนเดาไปต่างๆครับว่า Microsoft จะดำเนินแผนการโมบายของตัวเองต่อไปอย่างไร หลังจากซื้อ Danger เข้าไป เพราะยังไงทีมนี้ก็ไม่ใช่กระจอกซะทีเดียว

มีสองทางคือทำโฟนเอง (ไหนๆ Danger ก็มีโฟนอยู่แล้ว) อันนี้ชนกับไอโฟนแบบตัวต่อตัว หรือทำแบบ Windows Mobile คือให้คนอื่นผลิต อันนี้ชน Android

หลังจากนั้นก็มีภาพหลุดของโฟนใหม่ของ Microsoft ออกมาครับ มีรหัสเรียกขานว่า “Pink” มีรูปให้ดู http://bit.ly/2Q4WWx




เห็นรูป Pink แล้ว นักวิจารณ์ก็หัวเราะกร๊ากก…นี้หรือวะ Microsoft Phone…นี่มันเต่าชัดๆ ก็เลยพากันเรียกว่า Turtle และมันก็เป็นชือทางการด้วย

คนพากันเข้าใจว่า Microsoft เอา Danger ไปผสมกับ Zune และ Windows Mobile เพื่อทำ Windows Mobile 7 (Windows Phone ในปัจจุบัน) ครับ…แต่จริงๆกลับไม่ใช่..

ตอนปี 2007 ที่ไมโครซอฟต์เซจากแรงกระแทกของไอโฟน มีการเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารครับ เอา Roz Ho หัวหน้าทีม MacBU มานั่งที่แผนก WinMo/Pink/Zune อีตา Roz Ho คุมซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟต์เวอร์ชั่นสำหรับ Mac อยู่ครับ ย้ายมา Entertainment & Devices division ในปี 2007 แผนกนี้คุมโมบายกับ xbox

คงเดาออกนะครับ เซมาจาก Apple ก็เลยย้ายคนที่ “รู้เรื่อง” เกี่ยวกับ Apple ดีที่สุดมาคุม แต่ตรงนี้พลาดอย่างแรงครับ…

ร่ำลือกันว่า Ho ไม่ค่อยรู้เรื่องโฟน และไม่ค่อยเขื่อทีม Danger ซึ่งชำนาญกว่า แถมแยก Danger Team ออกจาก Windows Mobile และ Zune โดยเด็ดขาด Ho คิดจะทำโทรศัพท์ที่มีทั้ง CDMA/EVDO และ UMTS/HSPA ในเครื่องเดียวกัน โดยไม่ฟัง Danger Team บอกว่ามันใช้ชิพและเสาอากาศต่างกัน

Ho ยังสั่งให้ Sharp ทำเครื่องต้นแบบของ pink ออกมา โดยคิดแต่เรื่องหน้าตา (ซึ่งผมว่าห่วย) ไม่ได้ดู features เลยด้วยซ้ำ…

บรรดา Danger Team ก็เลยทะยอยลาออกครับ แล้วก็มาแฉเรื่องต่างๆจนเริ่มเป็นที่รู้กัน…

สิ่งที่ Ho ทำ ทำให้ พันธมิตรเก่าแก่ของ Danger เริ่มไม่ค่อยชอบ ยิ่งทำให้ server Sidekick ล่มหลังจากที่ซื้อ Danger ไปบริหารยิ่งทำให้ไม่พอใจหนัก Verizon เองก็เริ่มไม่ชอบใจ เพราะลูกค้าคืนเครื่อง Windows Mobile เยอะเหลือเกิน

ตอนนั้นโชคดีที่ไมโครซอฟต์มีพันธมิตรแบบ HTC ที่ช่วยออก HD2 ที่ยอดเยี่ยมออกมา Microsoft เละเป็นโจ๊กแน่ๆ เรียกว่า HTC ช่วยมากๆเลยครับ เครื่อง HD2 ยังคงเป็นเครื่องในตำนานของบรรดา Hacker นักปรุงรอมทั้งหลายมาจนถึงทุกวันนี้

Ho วางกลยุทธ์ที่ไม่มีใครเดาออก ดูเหมือนจะผลิต Turtle เองในรูปแบบเดียวกับ Apple ผลิตไอโฟน และทำ Zune มาแข่ง iPod แล้วก็เอา Windows Mobile แข่ง Android

คนเริ่มสงสัยต่ออนาคตของ Windows Mobile 7 ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็น Danger Team เข้ามาช่วยทำ แต่กลับไม่ใช่…ยังเป็นทีม Windows Mobile เดิม ในตอนนั้นไมโครซอฟต์ออกมายืนยันว่าใช้คนถึง 1,000 คนครับในการพัฒนา Windows Mobile 7 ให้ออกในปลายปี 2010

จากนั้น Pink ก็ไปไม่รอดครับ... Windows Mobile 7 ก็เติบโตต่อมาเป็น Windows Phone 7 และ 8 ในเวลาต่อมา เรื่องราวตรงนี้จะมาเล่าให้ฟังวันหลัง...



วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซัมซุง "ยักษ์ในขวดแก้ว" ของกูเกิ้ล ที่กินจุและโตขึ้นเรื่อยๆ



ในงาน MWC 2013 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Andy Rubin เจ้าพ่อ Android แห่งกูเกิ้ล ออกมาพูดว่ากูเกิ้ลมีความกังวลที่ซัมซุงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีอำนาจต่อรองที่สูงขึ้นมากในโลกของ Android

บอกด้วยว่าการซื้อ Motorola ของกูเกิ้ลนั้น เป็น "หลักประกัน" หากวันใดที่มีปัญหา X-phone ในตำนานก็น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับยักษ์ตัวนี้...

จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบว่า Andy Rubin พูดแบบนี้จริงๆหรือไม่ เพราะต้นตอของข่าวมาจาก WSJ ที่อ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า Andy พูดในงานเลี้ยงหนึ่งในงาน MWC

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็น่าจะมีจริงอยู่มากที่กูเกิ้ลต้องกังวลกับการเติบใหญ่ของยักษ์ Samsung เพราะหนามยอกอก Android มีมาให้เห็นแล้วคือ เครื่อง Kindle ของ Amazon ที่เติบโตจาก Android กลับกลายมาเป็นคู่แข่งของ Android เอง

อธิบายหน่อยว่า Android นั้นเป็นโครงการ Open Source ใครๆ ก็เอาไปทำเป็น OS ใหม่ได้ เช่น Amazon เอาไปทำเป็น Kindle OS ซึ่งถอดเอาโปรแกรมของ Google ออกหมด ทำให้ Google ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเติบโตของ Kindle เลย​ (หรือได้ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับ Android)

สัปดาห์ที่ผ่านมาในงาน MWC ทางฝั่ง Samsung ก็ออกมาโชว์ Tizen ซึ่งเป็น OS ใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาจาก Bada ผสมกับ Meego ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของ Samsung กับ Intel

ที่สำคัญหน้าตาของ Tizen 2.0 นี้มันเหมือนดิ๊กดั๊กกับ Android 2.2 ยังไงยังงั้น แถม Samsung ออกมา commit ตลาดด้วยว่าในปีนี้จะมีเครื่องที่ใช้ OS Tizen ออกมาให้เห็นหลายรุ่นแน่นอน...

ความที่โปรแกรม Android นั้น วิ่งบน Virtual Machine ทำให้ OS ใหม่ๆ ทำ VM ให้โปรแกรม Android วิ่งได้ใน OS เหล่านั้น อย่างเช่น BB10 ที่เพิ่งออกมา ก็ได้ประโยชน์จากการนี้ไปไม่น้อย มีโปรแกรมให้ใช้มากมายทันที...

Tizen ที่ออกมามันดูแล้วใกล้กับ Android เหลือเกิน หน้าตาก็คลับคล้ายกับ Galaxy SII ไม่น้อย... กูเกิ้ลก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา

เจ้ายักษ์ที่เลี้ยงไว้ในขวดแก้วตนนี้ มันชักกินจุและโตขึ้นทุกวัน.....

HP ยักษ์ใหญ่ที่ล้มเหลวเรื่องโมบายมาตลอด


HP หรือชื่อเต็มว่า Hewlett-Packard Company เป็นตัวอย่างของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นความสำเร็จแบบ American Dream เพราะเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวมาจากบริษัทในโรงรถ และเติมโตเรื่อยมาจนะเป็นบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในโลก (2007)... เพิ่งจะมาเสียแชมป์ให้ Lenovo บริษัทผลิต PC ของจีน (ซึ่งเป็นของ IBM มาก่อน) เมื่อเร็วๆนี้

นอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว HP ก็มีชื่อเสียงเรื่องเครื่องคิดเลข สมัยก่อนใครเรียนวิศวะต้องมีเจ้าเครื่อง HP กันคนละตัว เคยลองยืมของเพื่อนมาดู ปุ่มมันเยอะจนไม่รู้จะเร่ิมต้นใช้ยังไง

ในเรื่องของ mobile computing นั้น HP เคยมีชื่อสียงเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมาก่อนที่ตลาด PDA จะบูม นั่นคือเครื่อง LX200 ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดมือถือที่รัน MS-DOS ได้ สมัยนั้นมันคือเครื่องสุดยอดปรารถนาของบรรดา Geeks เลยครับ


ต่อมาเมื่อ Microsoft ออก Windows CE ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ Windows Mobile และ Windows Phone ในปัจจุบัน HP ก็มีชื่อเสียงในเรื่องคอมพิวเตอร์มือถืออีก ในรุ่น Jornada 720


หลังจากนั้น ก็เข้าสู่ยุคของ Pocket PC สู้กับ Palm ในช่วงนี้ HP ออกเครื่องตระกูล Jornada ออกมาหลายรุ่นพอสมควร แต่ก็ห่วยแตก สู้น้องใหม่ IPAQ จากค่าย Compaq ไม่ได้




เครื่อง IPAQ นี้ผลิตโดย HTC ครับ เรียกว่า HTC เกิดขึ้นมาได้ เพราะทำ OEM รุ่นนี้เลยทีเดียว IPAQ ตีตลาด Pocket PC ได้มากทีเดียว ส่วนทางด้าน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Compaq ก็แย่งตลาดของ HP ไปได้มาก พอสมควร เรียกว่าน้องใหม่เจ้านี้มาแรงมาก

HP ก็เลยซื้อ Compaq มาไว้ครอบครอง เครื่อง IPAQ ก็เลยมาติดตรา HP แต่หลังจากนั้นเครื่อง IPAQ ก็หมดมนต์ขลัง เพราะ HP เลิกสัญญากับ HTC หันไปผลิตเครื่องราคาถูกห่วยๆ ออกมาอีก

Palm ก็เฟื้องฟูขึ้นมาในระยะต่อมา สู้กับฝั่ง Pocket PC ที่มีเครื่องออกมามากมายหลายยี่ห้อ แต่ OS ของ Palm ใช้ไม่ค่อยได้เพราะเป็น OS สมัยโบราณ เลยไปลากเอา Jon Rubinstein คู่หูคู่บารมีของศาสดาจ๊อบส์ ออกมาจาก Apple มานั่งเป็น CEO ของ Palm

เรื่องนี้โด่งดังมาก เพราะ Jon Rubinstein นั้น อยู่ในตำแหน่ง Vice president of hardware engineer ของ Apple เป็นผู้ที่มีส่วนอย่างมากในความสำเร็จของ iPod นอกเหนือจาก Fadell ที่เล่าให้ฟังมาแล้ว ตอนที่ทำ iPod อีตา Jon คนนี้แหละที่ช่วย Fadell ไปเจรจาให้ Toshiba ทำ Hard disk ขนาดเล็กสำหรับ iPod จนสำเร็จ

เหตุการณ์ตอนนี้ เกิดขึ้นประมาณ 1 ปีก่อนที่ Apple จะออก iPhone ดังนั้น แน่นอนว่า Jon Rubinstein ต้องรู้ดีเกี่ยวกับโครงการ iPhone ที่กำลังพัฒนาอยู่ การลาออกของ Jon ไปอยู่กับคู่แข่งแบบ Palm นั้นทำให้ศาสดา Jobs โกรธอย่างยิ่ง

ซึ่ง Jobs เองก็แสดงอาการ "กลัว" ออกมาชัดเจนมาก ตอนปี 2009 หลังจากที่ iPhone ออกตลาดมาได้ประมาณ 1 ปี Palm ก็ประการศออกเครื่งอ "Pre" ศาสดาจ๊อบส์ถึงกับต้องทำคู่มือให้พนักงานขายของตนเองและ AT&T ไว้เปรียบเทียบ iPhone กับ Pre เพื่อให้ตอบลูกค้าได้อย่างมั่นใจเลยทีเดียว

แต่ Palm Pre ก็ไม่ได้แรงอย่างที่คิด ในที่สุด Palm ก็เจ๊ง และ HP อีกนี่แหละที่ไปซื้อ Palm มาไว้ในครอบครอง ด้วยสนนราคา 1,200 ล้านเหรียญ ได้อีตา Jon Rubinstein มาด้วย แล้วก็มาทำ WebOS กันต่อ



HP ออกเครื่อง WebOS TouchPad ออกมา แล้วก็ประกาศยกเลิกไปในเวลาแค่ 1 เดือน เป็น Tablet ที่มีอายุสั้นมาก แล้วก็ยุบแผนกไปด้วย หลังจากนั้นก็ประกาศให้ WebOS เป็น OpenSource

มาสองสามวันก่อน HP ก็ประกาศขายสมบัติชิ้นสุดท้ายในโลกโมบาย คือ ขาย WebOS ให้ LG ซึ่งจะซื้อเอาไปทำทีวี....

แต่ที่น่าแปลกใจคือ HP ประกาศออก Android Tablet ออกมา ชื่อ Slate 7 ตั้งราคาแค่ 170 เหรียญ...



แต่ดูๆแล้วก็ไม่น่าสนใจอะไรมากมาย... HP นั้นหมดมนต์ขลังในโลกโมบายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว... ทั้งๆที่เคยถือสินค้าชั้นยอดอยู่ในมือหลายตัว แต่ด้วยความไม่มั่นคงในนโยบายทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำไปทุกครั้ง

LX200, Jornada 720, IPAQ, Palm Pre, WebOS ล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมและเป็นอันดับต้นๆ ของตลาดทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดก็พังไปในมือของ HP ทั้งสิ้น...




วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Apple กับการยึดครองวงการเพลง


ช่วงนี้กระแส "ทีวียุคใหม่" กำลังมาแรง บรรดายักษ์ใหญ่ ยักษ์เล็กทั้งหลาย วิ่งเข้าหาวงการทีวียุคใหม่กันเป็นทิวแถว Apple นั้นกุมความลับดำมืดไว้ว่า iTV ตัวที่ สตีฟ จ๊อบส์ คิดไว้ก่อนตายจะมีหน้าตาและ Business model อย่างไร... บริษัทอื่นและวงการทีวีก็ต้องตีกันทุกวิถีทางก่อนที่จะออกมา

บทเรียนที่วงการเพลงตกอยู่ในอุ้งมือของ Apple มาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเหตุให้วงการทีวีกลัวนักกลัวหนาว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอย ทำให้หนทางของ Apple ในวงการทีวีนั้นอาจจะไม่ง่ายนักเหมือนวงการเพลง...

เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเหตุการณ์และ Business Model ของ Apple และวงการเพลง ผมจะขอเล่าเรื่องช่วงที่เป็นกำเนิดของ iPod ให้ฟังครับ...

เรื่องนี้ผม Live Tweets ไว้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2009 ครับ 3 ปีผ่านไปแล้ว..เอากลับมาเล่าใหม่

--------------

... หลังจากที่ Apple เฉดหัวตาจ๊อบส์ออกจากบริษัทไปนั้น Apple ก็เริ่มแผ่ว ทำอะไร ใครๆก็ม่ายร๊ากก... ก็เลยค่อยๆตกต่ำเรื่อยมา สุดท้ายทำโอเอสก็ทำไม่เสร็จ... ไฟลนก้นจนไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยหลับหูหลับตาซื้อ NeXT กลับมา ได้ของแถมเป็น CEO ชื่อ ตาจ๊อบส์ มาด้วย จ๊อบส์เล่นตัวน่าดูตอนนั้น บอกชอบทำ Pixar แต่รับเป็น CEO แบบชั่วคราวให้ เรียกว่า Interim CEO คนแซวว่าน่าจะย่อว่า iCEO น่ะ... งานช้างครับ การพลิกฟื้น Apple ในตอนนั้น...มันต่ำกว่า 0


ไมเคิล เดลล์ CEO ของ Dell ปากเสีย บอกว่าถ้าเป็นจ๊อบส์ มีทางเดียวต้องขายแอ๊บเปิ้ลทิ้งในราคาถูกๆเท่านั้น จนตอนหลัง Apple มีมูลค่าสูงกว่า Dell คนเลยถากถางแทบเสียคน มาถึงเมื่อเดือนที่แล้ว ไมเคิลก็ต้องออกมาไล่ซื้อหุ้น Dell เพื่อจะนำ Dell ออกจากตลาดหุ้น เพราะบริษัทตกต่ำลงมาก...

ตอนพลิกฟื้น Apple แทบไม่มีใครเชื่อว่า อีตาจ๊อบส์ จะทำได้สำเร็จ คือมันเจ๊งยิ่งกว่าเจ๊ง ผลิตภัณฑ์ตอนนั้น ก็ดูไม่ได้ อะไรๆ ก็ดูห่วยไปหมด... จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าวงการเปรี้ยง ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ไม่มีใครคาดถึงมาก่อน นั่นคือ ไอ้ป๊อด (iPod) นั่นเอง... ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า Apple ทำอยู่

กำเนิดของ ไอ้ป๊อด (iPod) ลึกลับมาก เพิ่งจะมีคนในเอามาเล่าไม่นานนี้ในนิตยสาร Wired ของตา
คริส แอนเดอร์สัน (คนนี้เป็นเพื่อนเก่าผมเอง 555) 

นาย Ben Knauss ซึ่งเคยเป็นผู้จัดการอาวุโสของบริษัท PortalPlayer เอามาเล่าให้นิตยสารฟัง น่าสนใจมาก เพราะเรื่องนี้ Apple เก็บเป็นความลับ

iPod เป็นเรื่องฝันเฟื่องของนาย Tony Fadell ผู้เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ ทำงานอยู่กับ General Magic และ Philips ตอนนั้น... Fadell นี่อินกับ Napster และ MP3 มาก เลยเขียนแผนธุรกิจที่จะตั้งบริษัทเพื่อสร้างเครื่องเล่น MP3 ที่พ่วงระบบขายเพลงผ่าน Napster ขึ้นมา อินขนาดลาออกจาก Philips แล้วเอาแผนธุรกิจ สุดเว่อร์ไอเดียบรรเจิดนั้นไปเร่ขายให้บริษัทใหญ่ๆ แต่ไม่มีใครสนใจ มีเพียงเจ้าเดียวเท่านั้นคือ Apple

Apple จ้าง Fadell ในปี 2001 สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้ มีทั้ง designers, programmers, hardware engineers ทำโครงการนี้ 

นาย Fadell นี่หาญกล้ามาก พูดเลยว่า "นี่คือโครงการที่จะพลิกอนาคตของ Apple และอีก 10 ปีข้างหน้า Apple จะกลายเป็นบริษัทเพลง ไม่ใช่บริษัทคอมพิวเตอร์"

คำพูดนี้เป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อต้นปี 2007 ตาจ๊อบส์ เพิ่งประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก "Apple Computer Inc." เป็น "Apple Inc." ไป...Gosh...

ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ในปี 2009 Fadell อยู่ในตำแหน่ง Director of iPod & Special Projects Group ของ Apple... เยี่ยมมั้ยครับคนๆนี้

เรียกได้ว่า Fadell นี่ มองอนาคตของธุรกิจเพลงได้ขาดยิ่งกว่าบรรดาบริษัทเพลงในขณะนั้นไปหลายชั้นทีเดียว คนแบบนี้แหละครับที่วงการฝันหา... แต่คนแบบนี้มักถูกมองข้าม จะสำเร็จก็เมื่อเจอบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ไกลเท่าเทียมกันเท่านั้น ซึ่งมักจะยากมาก ในวงการคอมพิวเตอร์มีตัวอย่างอยู่ไม่น้อย

พอ Fadell มาอยู่ Apple ก็เริ่มทำเครื่องฟังเพลงในฝันของตัวเองขึ้นมา...

ตอนนั้น มีบริษัท PortalPlayer เป็นบริษัทที่ทำเครื่องต้นแบบของ MP3 player ขายให้บริษัทอื่นไปผลิด Apple ก็เลยเข้าไปคุยด้วย 

PortalPlayer มีเครื่องต้นแบบตัวนึงที่มีขนาดเท่าซองบุหรี่ ซึ่ง Knauss เล่าว่า "มันน่าเกลียดโคดๆ เหมือนวิทยุราคาถูกที่มีปุ่มเยอะๆ"



แน่นอนแหละว่ามันน่าเกลียด เพราะ portalPlayer เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ ของทุกอย่างออกแบบโดย hardware engineer... แต่พอ Tony Fadell เห็นเจ้าเครื่องนี้เข้า ก็บอกทันทีว่า "นี่แหละเครื่องที่กรูใฝ่ฝันหา.." Apple ก็เลยเข้ามาติดต่อให้ PortalPlayer ทำเครื่องให้

ตอนนั้น PortalPlayer มีลูกค้า 12 ราย หนึ่งในนั้นคือ IBM ซึ่งกำลังทำเครื่องเล่น MP3 ที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ขนาดเล็กของIBM อยู่ ว่ากันว่ามันเยี่ยมมาก Apple บอก ถ้าจะร่วมงานกัน เอ็งต้องทิ้งไอ้12เจ้านั้น Portal Player ก็ใจถึงน่าดู ทิ้งหมด ทำกับ Apple เจ้าเดียว ไม่รู้ตาจ๊อบส์ไปกล่อมอีท่าไหน

โครงการ iPod ก็เริ่มขึ้น ด้วยคน 200 คนใน US, Engineer อีก 80 คนในอินเดีย ใช้เวลาทั้งหมด 8 เดือน ทำสินค้าตัวนี้ตัวเดียว ทุกคนทุ่มสุดตัว...



PortalPlayer ทำ hardware & software, Fadell เขียน Business Model, ตาจ๊อบส์สนใจอย่างเดียว "User Experience" จิ๊กซอว์ 3 ตัวครบ ก็เดินหน้า

จ๊อบส์ใช้เวลาทั้ง 100% กับไอ้ป๊อด ยุ่งไปทุกเรื่อง ประชุมทุกวัน ระเบิดอารมณ์ทุกครั้งที่ไม่ได้อย่างใจ เช่น เลือกเพลงโปรดไม่ได้ในสามคลิ๊ก... บ่นหมด มุมเครื่องมนไม่พอ, ขอบทื่อเกินไป, เหลี่ยมนี้ไม่สวย, เมนูขึ้นมาช้า... ด่าแม่งทุกวัน.. (ผลก็คือ iPod มี User Experience ที่เยี่ยมยอดกว่าเครื่องเล่น MP3 ที่มีอยู่เต็มตลาดในตอนที่ออกมาขาย)


บางเรื่องก็อีเดียด เช่น iPod นั้นเสียงดังกว่าเครื่องในตลาดทุกตัวอยู่แล้ว แต่จ๊อบส์บอกดังไม่พอ คนเลยนินทาว่าอีตานี่ท่าจะหูหนวกหน่อยๆ


ในระหว่างทำ prototype นั้นไม่เคยมีใครนอกแอ๊บเปิ้ลระแคะระคายเลย เพราะแอ๊บเปิ้ลได้ชื่อว่ารักษาความลับของผลิตภัณฑ์ได้ยอดเยี่ยมมาก อย่างเช่นกรณีที่ หลายเดือนก่อนเครื่องต้นแบบของไอโฟนหายไป คนขนของในเมืองจีนถูกกดดันหนักจนฆ่าตัวตายไปเลย... เศร้า...

ตอนทำไอ้ป๊อดเนี่ย Apple หุ้มมันด้วยกล่องขนาดกล่องรองเท้าครับ เอาปุ่มกับจอ ออกมาวางในตำแหน่งแปลกๆ เช่น แป้นหมุนกลมๆอยู่ด้านล่าง จออยู่บน Knauss เล่าว่าต่อให้ถ่ายรูปโปรโตไทพ์ไปได้ ก็ไม่มีทางเดาถูกว่าไอ้นั่นมันเครื่องอะไร... ทำกันขนาดนั้นเลยครับ 

พอทุกอย่างเกือบเสร็จ เหลืออีก 8 สัปดาห์ต้องเข้าสายผลิต ก็มีปัญหาที่ทีมงานแก้ไม่ตก...แบ็ตเตอรี่ครับ มันเปลืองมาก ใช้ได้แค่ 3 ชั่วโมงแบ็ตก็หมด... ปัญหานี้แก้ไม่ได้ก็พัง เพราะคนจะไม่ซื้อแน่...ตอนนั้นระส่ำระสายมากครับ จนหลายคนคิดว่า Apple คงพังแน่กับโครงการนี้...

หลายคนใน PortalPlayer ถึงกับลาออกไป รวมทั้งคนที่เอามาแฉด้วย (Knauss ลาออกในตอนนั้น ตอนนี้ไปทำงานกับ Microsoft) Apple ก็เลยต้องเข้าซื้อกิจการ PortalPlayer ไว้เพื่อทำโครงการนี้ต่อ พอซื้อปุ๊บ..วิศวกรของ Apple ก็ "บังเอิญ" แก้ปัญหาเรื่องแบตได้พอดี...

ว่ากันว่า คนที่จะอยู่กับท่านศาสดาจ๊อบส์ได้ ต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ 1. เก่งโคดๆ 2. จงรักภักดี

จงเชื่อว่าศาสดาเตรียมทางออกไว้แล้วเสมอ...จงเชื่อ อย่าดื้อ...นิทานเรื่องนี้สอนว่าอย่าลาออกตอนโปรเจกต์ใกล้พัง...คุณอาจพลาดได้...555





เรื่องนี้จริงเท็จยังไงไม่รู้นะครับ เป็นเรื่องที่ Knauss เอามาแฉกับ Wired แต่อ่านแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ...

ด้วยความเก่งกาจของทุกฝ่ายที่ร่วมงานกันตอนนั้น iPod ก็กลายเป็นสินค้าที่พลิกฟื้นสถานะของ Apple ได้จริงๆ...

ตอนออกโปรแกรม iTunes มีแต่คนหัวเราะนะครับ เพราะในวินโดว์ส มี Media Player ที่แสนดีของ Microsoft ให้ใช้อยู่แล้ว ใครจะต้องการมรึง...แต่ iTunes นั้นแฝงไว้ด้วยสิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือวิสัยทัศน์ของ Fadell ครับ...

วิสัยทัศน์ของ Fadell คือ การซื้อขายเพลงในรูปแบบดิจิตอล... นี่แหละครับก้าวแรกของการยึดครองโลก (ดิจิตอล) ของ Apple -- iPods และ iTunes ได้ก่อให้เกิดตลาดที่ไม่เคยมีใครคิดฝันมาก่อน และในที่สุดก็กลายเป็น channel ในการขายเพลงที่ใหญ่ที่สุดไป ชนะ Wall Mart ขาด

ที่เล่ามาคือจุดเริ่มต้นของ Apple ที่ใช้สิ่งสำคัญ 3 สิ่ง ยึดครองตลาดเพลงไป นั่นคือ
  1. ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เยี่ยมยอด
  2. Business Model
  3. User Experience ที่ออกแบบมาอย่างดี
ขณะนี้ iTunes เป็นช่องทางจำหน่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ....













วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทีวียุคใหม่ กับเรื่องของลิขสิทธิ์ Google vs NASCAR



เมื่อวานนี้ (23 February 2013) มีอุบัติเหตุใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันรถ NASCAR ที่สนาม Daytona International Speedway รถหลายคันชนกันอย่างรุนแรงในระหว่างการแข่งขัน รถที่ได้รับความเสียหายมากฉีกเป็นชิ้นๆ กระเด็นกระดอนขึ้นมาบนอัฒจรรย์ มีผู้ชมได้รับบาดเจ็บหลายคน ในจำนวนนี้ 14 คน ต้องถูกส่งไปยังโรงพยาบาล นักแข่งได้รับบาดเจ็บ 1 คน โชคดีที่ไม่มีการเสียชีวิตในเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งนี้

อุบัติเหตุครั้งนี้มีผู้ชมถ่ายคลิปวิดีโอไว้ได้ ดังที่โชว์ไว้ข้างล่างนี้



แน่นอนว่าวิดีโอนี้ถูกโพสขึ้น YouTube ในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากอุบัติเหตุ พร้อมกับกระแสใน Twitter ที่โหมกระหน่ำด้วย tag #daytona ตามมาพร้อมกับภาพในสนามอีกมหาศาล ว่อนไปทั่ว Social Network ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของ Social Network อยู่แล้วที่เป็นเช่นนี้

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่ออีกไม่กีนาทีต่อมา วิดีโอดังกล่าวถูกถอดออกจาก YouTube เนื่องจากทาง NASCAR ร้องขอไปทาง YouTube ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์



บรรดา Social Network ก็ตอบสนองการ block video ครั้งนี้โดยการโพสขึ้นในที่ต่างๆ อีกมากเป็นดอกเห็ด เริ่มจาก LiveLeak เจ้าเก่า ซึ่งเป็นแหล่งรวมวิดีโอเจ้าปัญหาทั้งหลาย รวมถึงการโพสกลับไปบน YouTube อีกจำนวนมาก

ประเด็นถกเถียงเรื่องนี้คือ การที่คุณตีตั๋วเข้าไปชมกีฬา และถ่ายคลิปโพสไปยัง Social Network นั้น ผิดลิขสิทธิ์หรือไม่... แน่นอนครับ NASCAR บอกว่าผิด เพราะ NASCAR ประกาศชัดเจนมาแล้วว่าจะควบคุม media ทุกอย่างที่คุณถ่ายและจ่ายแจกไปไม่ว่าช่องทางใดๆ เรื่องคล้ายๆกันนี้ก็คือ NFL นั้นห้ามแม้กระทั่งไม่ให้คุณเขียนบทความถึงเกมแข่งขันด้วยซ้ำไป

แน่นอนครับว่าบรรดาผู้จัดการแข่งขันทั้งหลายต้องพยายามรักษาผลประโยชน์เรื่อง media ให้มากที่สุด NASCAR มีสัญญาให้สิทธิ์การถ่ายทอดทางทีวีกับช่องเคเบิ้ลทีวี Fox/Speed channel, ABC/ESPN และ TNT ที่มีมูลค่าสูงถึง 4,800 ล้านเหรียญ (สัญญา 8 ปี) ที่สำคัญคือสัญญากำลังจะหมดและต้องต่อสัญญากันในปีนี้...

ถ้าใครๆก็ถ่ายวิดีโอในสนามได้แล้วก็โพสขึ้น YouTube แน่นอนว่ามูลค่าสัญญาดังกล่าวจะลดลงมหาศาล ดีไม่ดีจะไม่มีค่าเอาเลยก็ได้... NASCAR ก็ต้องแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในทุกเรื่อง แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่ค่อยเข้าท่าก็ตาม...

พอ Social Network โพสวิดีโอกันเป็นที่สนุกสนาน และเริ่มเกิดเป็น ดราม่าขึ้น NASCAR ก็ออกมาอ้อมแอ้มประกาศว่า "ที่บล็อก YouTube ไปนั้น เพราะต้องการให้เกียรติกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียดของอาการบาดเจ็บ..."

ลิงที่ไหนดูวิดีโอก็รู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับไอ้ที่แถออกมาเลย ในวิดีโอแม้เห็นว่ามีการปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนอะไรและไม่น่าจะเป็นปัญหาที่ต้อง "ให้เกียรติ" อะไรอย่างที่เอ็งว่าเลย...

Google ก็เร็วมากครับ หลังจากนั้นไม่กีนาที ก็เอาวิดีโอขึ้นเหมือนเดิม โดยไม่สน NASCAR อีก พร้อมกับประกาศออกมาแบบท้าทายนิดๆผ่านหนังสือพิมพ์ Washington Post ว่า

"คู่ค้าทางธุรกิจของเราหรือผู้ใช้ YouTube ไม่มีสิทธิ์เอาวิดีโอลง ยกเว้นว่าในวิดีโอนั้นมีเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้นเราจึงเอาวิดีโอนี้ขึ้นมาใหม่...จบ"

"Our partners and users do not have the right to take down videos from YouTube unless they contain content which is copyright infringing, which is why we have reinstated the videos"

แปลว่า Google มองว่าวิดีโอดังกล่าวไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์... งานนี้เริ่มสนุกแล้วครับ  Google เริ่มชนกับบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว.... และนี่คืออีกสมรภูมิหนึ่งที่น่าติดตามครับ เพราะเดิมพันคู่นี้สูงมาก...


วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พัทยา...โลกที่ไร้กฎเกณฑ์



เรื่องนี้เขียนไว้บน Time line ใน Facebook นานมาแล้ว...

อ่านเรื่องราวของ "In a Small World" หนังเกี่ยวกับพัทยาในแบบ "โลกที่ไร้กฎเกณฑ์" แซมมี่ พาเวล ผู้สร้าง พูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า


"...พัทยาคือชีวิต คือความจริงนะ อย่าปฏิเสธ เราต้องยอมรับ สำหรับชาวยุโรปอย่างผมแล้ว นี่คือที่ที่คุณต้องตะลึง เป็นโลกที่ไร้กฎเกณฑ์ แต่ก็มีรูปแบบ เทียบกับในยุโรป เมืองต่าง ๆ ตายไปแล้ว เพราะมันมีกฎเกณฑ์เต็มไปหมด ผู้คนไม่มีอิสระ เคร่งเครียด ชีวิตมันแห้งเฉา นี่ก็เป็นอีกคำตอบนะ ถ้าคุณอยู่ในที่ที่แห้งเฉานาน ๆ คุณก็ต้องการพัทยา แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันจะมีข้อบกพร่องอยู่ แต่พัทยาก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา..."

อ่านแล้วอยากดูหนังเรื่องนี้มาก และ ... อยากไปพัทยา ....


น่าสนใจในมุมมองของ แซมมี่ พาเวล ที่บอกว่า "...ในยุโรป เมืองต่างๆ ตายไปแล้ว เพราะมันมีกฎเกณฑ์เต็มไปหมด..." ในเมืองไทยเราไม่ค่อยเคร่งครัดกับกฎระเบียบ มีก็เหมือนไม่มี ขับรถย้อนวันเวย์, จอดรถในที่ห้ามจอด, มาสาย, ทำอะไรก็ได้ตามใจ ... ฝรั่งอยู่กับกฎระเบียบที่เคร่งครัดมานาน มาเจอแบบนี้ก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา​...

เราก็ต้องหาทางมีชีวิตรอดต่อไปในโลกที่ไร้กฎเกณฑ์นี้....

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1357447567&grpid=03&catid=12

อันนี้เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1359715763&grpid=00&catid=12&subcatid=1207

เคล็ดลับการ design จากท่านเซอร์ Jony Ive

Apple iOS 6 เป็นบทเรียนแห่งความอับอายขายหน้าของ Apple ที่มอบความไว้วางใจไว้กับ Forstall หัวหน้าทีมพัฒนา iOS ที่ทำหน้าที่มายาวนาน ใครที่ดูงานเปิดตัวของ iOS 6 จะเห็น Forstall ออกมาพูดถึง Apple Maps แบบชนิดอินสุดๆว่ามันสุดยอดของ product ไม่มีแผนที่ไหนจะเลอเลิศไปกว่านี้อีกแล้ว

พอ iOS 6 ออกสู่ตลาดจริง ผู้บริโภคก็คือผู้ตัดสิน ว่า แผนที่เอ็งมันห่วยสิ้นดี นอกจากภาพ 3 มิติในเมืองสวยๆแล้ว ยังมีภาพ 3 มิติ คดๆเคี้ยวๆ ห่วยแตกอีกมหาศาล แถมยังพาคนหลังทางชนิดเข้าไปในทะเลทรายโน่นเลยทีเดียว

แถม iOS 6 ก็ยังเต็มไปด้วย bugs ชนิดผิดไปจากมาตรฐานของ Apple โดยสิ้นเชิง บาปทั้งหมดตกไปกับ Forstall แต่เพียงผู้เดียว... รวมทั้ง Application หลายตัวที่มีแต่คนบอกว่า รสนิยมเห่ยสิ้นดี เช่น ลายไม้ ของ bookshelf, ลายหนังของ contact ฯลฯ

ผมไม่บังอาจวิจารณ์ว่ารสนิยมของ Forstall นั้นดีหรือห่วย แต่หลายคนบอกว่า iOS มันจืดชืดไม่มีอะไรเร้าใจ ไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกที่ออกแบบด้วยท่านเซอร์ Jony Ive ที่มันดูยังไงก็ทันสมัย เซ็กซี่หาที่เปรียบไม่ได้...

พอ iOS 6 ล้มเหลวไม่เป็นท่า อีตา Forstall ก็ถูกบีบให้ออก (คล้ายๆกับกรณี Sinofski ของไมโครซอฟต์ที่โดนบีบให้ออกเหมือนกันเมื่อ Windows 8 ไม่ประสบความสำเร็จ วันหลังจะมาเล่าให้ฟัง)

พอ Forstall ออกไป อีตาทิม คุ๊ก ซีอีโอแอ็บเปิ้ล ก็ตั้งให้ Jony Ive มาดูแลการออกแบบ Software iOS ไปด้วย ดังนั้น iPhone ตัวต่อไปจะออกแบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์โดยท่านเซอร์ทั้งหมด กองเชียร์ก็ไชโยโห่ฮิ้ว..อยากเห็นผลว่าจะเป็นยังไง... (ซึ่งอาจต้องรอไปถึงปี 2014 นู่นน่ะนะถึงจะได้เห็น)

ท่านเซอร์ Jony Ive (อ่านว่า ไอฟ์ นะครับ) เป็นนักออกแบบที่หาตัวจับยาก (แปลว่าเก่งนั่นแหละ)

มาดูกันว่าเค้ามีเคล็ดลับยังไงในการออกแบบที่มัน "out of the box" หรือ นอกกรอบ ได้ยังไง... นักข่าว BBC ไปสัมภาษณ์ Jony Ive เลยได้เคล็ดลับเรื่องนี้มา... นักข่าวถามว่าถ้าต้องออกแบบกล่องใส่อาหารกลางวัน (Lunch Box) ท่านเซอร์จะมีแนวการออกแบบยังไง?

Jony Ive ตอบอย่างน่าสนใจว่า....

"ถ้าจะออกแบบ กล่องอาหาร สิ่งแรกที่ต้องระวังคือต้องระวังคำว่า 'กล่อง'... คำนี้จะให้ไอเดียกับเรามากมาย...แต่เป็นไอเดียในมุมแคบ... เราจะมัวคิดแต่ว่ากล่องเป็นอะไรที่ต้องเป็นสี่เหลี่ยม เราจึงต้องระมัดระวังการใช้คำเรียกเป็นพิเศษ เพราะมันจะนำเราไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเสมอ..."

"If we’re thinking of a lunchbox, we’d be really careful about not having the word ‘box’… already give you bunch of ideas that could be quite narrow. Because you think of a box being a square and like a cube. And so we’re quite careful with the words we use because those can sort of determine the path that you go down."
ลองนำไปใช้กันดูครับ....

วิดีโอสัมภาษณ์ดูได้จาก.. https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=6SD70jM1uwo#!